วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมิกวีแต่งกันหลายคน ในปลายสมัยอยุธยา และ ในสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้น
ตอนที่ไพเราะส่วนมากแต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่
๒)การแต่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนไม่นิยมบอกนามผู้แต่ง
มีเพียงการสันนิฐานผู้แต่งโดยพิจารณาจากสำนวนการแต่งเท่านั้นเสภาขุนช้างขุนแผน ตอน
ขุนช้างถวายฎีกาจึงไม่ทราบนามผู้แต่งที่แน่ชัด
๒.ลักษณะคำประพันธ์
เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นคำประพันธ์
ประเภทกลอนเสภา ๔๓ ตอน ซึ่งมีอยู่ ๘
ตอนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดียอดเยี่ยมจากวรรณคดีสมาคม อันมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นประธานโดยลงมติเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ และตอน
ขุนช้างถวายฎีกาเป็นหนึ่ง ในแปดตอนที่ ได้รับการยกย่อง
ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ
เสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่างเล่านิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟัง
และมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น
ส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งใน ๕ คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบทเหมือนกลอนสุภาพ
๓.เรื่องย่อ
ครั้งหนึ่งสมเด็จพระพันวษาเสด็จประพาสสุพรรณบุรีเพื่อทรงล่าควายป่า
ขุนไกรพ่อของพลายแก้วมีหน้าที่ต้อนควายป่า เผอิญควายป่าแตกตื่นขวิดผู้คน
ขุนไกรจึงได้รับโทษประหารฝ่ายนางทองประศรีผู้เป็นภรรยาได้พา
พลายแก้วซึ่งยังเล็กอยู่หนีอาญา ไปเมืองกาญจนบุรี เมื่อพลายแก้ว อายุ ๑๕ ปี
นางทองประศรีได้พาไปบวชเรียนที่ วัดส้มใหญ่ เมื่อเรียนรู้ วิชาอาคมจนจบ แล้วก็ได้ไปบวชเรียนต่อที่วัด
ป่าเลไลยก์ เมืองสุพรรณบุรี ต่อมา พลายแก้วได้แต่งงานกับนางพิม หลังจากแต่งงานได้ ๒
วัน พลายแก้วก็ต้องยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ เมื่อได้รับชัยชนะก็ได้แต่งงานนางลาวทองเป็นภรรยา
ขณะที่พลายแก้วไปทำศึกนั้น นางพิมล้มป่วย
ขรัวตาจูจึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทองเพื่อรักษาอาการไข้
ขุนช้างที่หลงรักนางวันทองมาโดยตลอดได้ใช้ อุบายลวงว่าพลายแก้วไปทัพตายเสียแล้ว
และอ้างกฎหมายว่าผู้หญิงม่ายที่สามีไปทัพตายจะถูกริบเป็นม่ายหลวง นางศรีประจันผู้เป็นแม่เชื่อขุนช้าง จึงบังคับให้นางวันทอง
แต่งงานกับขุนช้างจนได้ แต่นางวันทองไม่ยอมเข้าเรือนหอ เมื่อพลายแก้วยกทัพ
กลับกรุงศรีอยุธยาพร้อมนางลาวทอง พระพันวษาได้พระราชทาน
บรรดาศักดิ์ให้พลายแก้วเป็นขุนแผนแสนสะท้าน แล้วพานางลาวทองกลับสุพรรณบุรี ขุนแผนรู้เรื่องการแต่งงานของนางวันทองกับขุนช้างก็โกรธ
ประกอบกับนางลาวทองและนางวันทองวิวาทกัน
ขุนแผนจึงพานางลาวทองไปอยู่กาญจนบุรี
ในที่สุดนางวันทองก็ถูกนางศรีประจันเฆี่ยนตีและบังคับจนต้องตกเป็นภรรยาขุนช้าง
ต่อมาขุนแผนกับขุนช้างได้ไปฝึกราชการกับจมื่นศรีเสาวรักษ์ทั้งสองได้คืนดีกัน
กระทั่งนางลาวทองป่วย ขุนแผนจึงฝากเวร ไว้กับขุนช้าง ขุนช้างก็รับปากไว้ด้วยดี ครั้นเมื่อพระพันวษารับสั่ง ถามถึงขุนแผน
ขุนช้างกลับทูลว่าขุนแผนหนีเวรปีนกำแพงวังไปหานางลาวทอง สมเด็จพระพันวษากริ้ว
จึงลงโทษให้ขุนแผนตะเวนด่านห้ามเฝ้า ส่วนนางลาวทองให้เอาไปไว้ในวัง
ขุนแผนมีความอาฆาตขุนช้างมาก จึงเดินทางไปสุพรรณบุรี สะเดาะดาลประตูขึ้นเรือนขุนช้าง
แต่เข้าห้องผิดไปเข้าห้องนางแก้วกิริยา
ซึ่งเป็นทาสในเรือนขุนช้างแล้วได้นางเป็นภรรยา
จากนั้นจึงพานางวันทองหนีออกจากเรือนขุนช้างไปอยู่ในป่า จนกระทั่งนางวันทองใกล้คลอด
ขุนแผนจึงเข้าพึ่งพระพิจิตรกับนางบุษบา
ขุนแผนเห็นว่าความผิดของตนจะทำให้พระพิจิตรเดือดร้อน จึงขอร้องให้พระพิจิตรส่งตัวไปสู้คดีกับขุนช้าง
ในที่สุดขุนแผนก็เป็นฝ่ายชนะความ
ขุนแผนคิดถึงนางลาวทองซึ่งถูกักไว้ในวัง
จึงได้ขอร้องให้จมื่นศรีกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้นางลาวทอง
เป็นผลให้พระพันวษากริ้ว รับสั่งให้ลงอาญาจำคุกขุนแผน
ส่วนนางวันทอง ต้องจำใจอยู่กับขุนช้างและได้คลอดบุตรที่บ้านขุนช้าง ให้ชื่อว่า
พลายงาม ขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่บุตรของตนจึงวางอุบายฆ่า เมื่อนางวันทองทราบเรื่องจากผีพรายของขุนช้าง
จึงไปช่วยพลายงามได้ทันและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
แล้วพลายงามเดินทางไปอยู่กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี ได้เรียนวิชาอาคมต่างๆ
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจมื่นศรีพาเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็ก
เมื่อครั้งที่พระพันวษากริ้วเจ้าเมืองเชียงใหม่
ซึ่งส่งพระราชสาส์นมาท้าทายเป็นเหตุให้พลายงามมีโอกาสกราบทูลอาสา
และกราบทูลขุนแผนให้ไปทัพด้วย ขุนแผนจึงพ้นโทษ ขณะรอฤกษ์
เคลื่อนทัพนางแก้วกิริยาก็คลอดบุตร นางทองประศรีจึงให้ชื่อหลานว่า พลายชุมพล
ขุนแผนกับพลายงามเคลื่อนทัพไปพักที่เมืองพิจิตร พลายงามพบรักกับศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรกับนางบุษบา ขุนแผนได้ขอศรมาลาให้กับพลายงาม
ศึกเชียงใหม่ขุนแผนและพลายงามได้รับชัยชนะ
เมื่อกลับถึงกรุงศรีอยุธยาพลายงามได้รับพระราชทานความดีความชอบเป็นจมื่นไวยวรนาถได้รับพระราชทานนางสร้อยฟ้า
ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่
เป็นภรรยาพลายงามหรือจมื่นไวยวรนาถจึงแต่งงานกับนางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลา
ส่วนขุนแผนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสุรินทรฦๅไชยไหสุริยะภักดิ์
ครองเมืองกาญจนบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น