วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประเภทบทละครรำ ได้แก่ อิเหนา


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ละครรำ ได้แก่ อิเหนา


อิเหนา

      อิเหนาเป็น วรรณคดีเก่าแก่เรื่องหนึ่งของไทย เป็นที่รู้จักกันมานาน เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้ผ่านมาจากหญิงเชลยปัตตานี ที่เป็นข้าหลวงรับใช้พระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ครองราชย์ พ.ศ. 2275 – 2301) โดยเล่าถวายเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชธิดา จากนั้นพระราชธิดาทั้งสองได้ทรงแต่งเรื่องขึ้นมาองค์ละเรื่อง เรียกว่าอิเหนาเล็ก (อิเหนา) และอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) ประวัติดังกล่าวมีบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์อิเหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังนี้
อันอิเหนาเอามาทำเป็นคำร้อง
      
สำหรับงานการฉลองกองกุศล
ครั้งกรุงเก่าเจ้าสตรีเธอนิพนธ์
แต่เรื่องต้นตกหายพลัดพรายไปฯ
นอกจากนี้ ยังมีบรรยายไว้ในปุณโณวาทคำฉันท์ ของพระมหานาค วัดท่าทราย ระบุถึงการนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเช่นกัน โดยเล่าว่ามีงานมหรสพที่เล่นเรื่องอิเหนา ดังนี้
ร้องเรื่องระเด่นโดย
      
บุษบาตุนาหงัน
พักพาคูหาบรรณ-
พตร่วมฤดีโลม ฯ
       เนื้อเรื่องตรงกับอิเหนาเล็ก ที่ว่าถึงตอนลักบุษบาไปไว้ในถ้ำ ซึ่งไม่ปรากฏในเรื่องอิเหนาใหญ่
เรื่องอิเหนา หรือที่เรียกกันว่านิทานปันหยีนั้น เป็นนิทานที่เล่าแพร่หลายกันมากในชวา เชื่อกันว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ของชวา ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ปรุงแต่งมาจากพงศาวดารชวา และมีด้วยกันหลายสำนวน พงศาวดารเรียกอิเหนาว่า “ ปันจี อินู กรัตปาตี” (Panji Inu Kartapati) แต่ในหมู่ชาวชวามักเรียกกันสั้นๆ ว่า “ปันหยี” (Panji) ส่วนเรื่องอิเหนาที่เป็นนิทานนั้น น่าจะแต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 หรือในยุคเสื่อมของราชวงศ์อิเหนาแห่งอาณาจักรมัชปาหิต และอิสลามเริ่มเข้ามาครอบครอง นิทานปันหยีของชวานั้น มีด้วยกันหลายฉบับ แต่ฉบับที่ตรงกับอิเหนาของเรานั้น คือ ฉบับมาลัต ใช้ภาษากวีของชวาโบราณ มาจากเกาะบาหลี

คุณค่า

       ๑. คุณค่าในด้านเนื้อเรื่อง บทละครเรื่องอิเหนา มีโครงเรื่องและเนื้อเรื่องที่สนุก โครงเรื่องสำคัญเป็นเรื่องการชิงบุษบาระหว่างอิเหนากับจรกา เรื่องความรักระหว่างอิเหนากับบุษบา เนื้อเรื่องสำคัญก็คือ อิเหนาไปหลงรักจินตะหรา ทั้งที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งก็คือบุษบา ทำให้เกิดปมปัญหาต่างๆ
      ๒. คุณค่าในด้านวรรณศิลป์
          ๒.๑ ความเหมาะสมของเนื้อเรื่องและรูปแบบ บทละครอิเหนาเป็นบทละครใน มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์ กลวิธีการดำเนินเรื่องจึงยึดรูปแบบอย่างเคร่งครัด อากัปกิริยาของตัวละครต้องมีสง่า มีลีลางดงามตามแบบแผนของละครใน โดยเฉพาะการแสดงศิลปะการร่ายรำจะต้องมีความงดงาม ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับตัวละคร จะใช้ถ้อยคำไพเราะ แสดงออกถึงอารมณ์ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นความอาลัยอาวรณ์ ความโกรธ ความรัก การประชดประชัน กระบวนกลอนตลอดจนเพลงขับร้องและเพลงหน้าพาทย์มีความไพเราะอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นบทละครในที่เพียบพร้อมด้วยรูปแบบของการละครอย่างครบถ้วน
          ๒.๒ การบรรยายและการพรรณนามีความละเอียดชัดเจน ทำให้เกิดจินตภาพ ไม่ว่าจะเป็นฉาก เหตุการณ์ สภาพบ้านเมือง ภูมิประเทศ รวมทั้งอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร ผู้อ่านเกิดความรู้สึกและความเกิดความเข้าใจในบทละครเป็นอย่างดี เนื่องจากการใช้โวหารเรียบเรียงอย่างประณีต เรียบง่าย และชัดเจน
          ๒.๓ การเลือกใช้ถ้อยคำดีเด่นและไพเราะกินใจ การใช้ถ้อยคำง่าย แสดงความหมายลึกซึ้ง กระบวนกลอนมีความไพเราะ เข้ากับบทบาทของตัวละคร โดยใช้กลวิธีต่างๆ ในการแต่ง
          ๒.๔ การใช้ถ้อยคำให้เกิดเสียงเสนาะ คำสัมผัสในบทกลอนทำให้เกิดเสียงเสนาะ มีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร ทำให้กลอนเกิดความไพเราะ
      ๓. คุณค่าในด้านความรู้
          ๓.๑ สังคมและวัฒนธรรมไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสร้างฉากและบรรยากาศในเรื่องให้เป็นสังคม วัฒนธรรม และบ้านเมืองของคนไทย แม้ว่าบทละครเรื่องอิเหนาจะได้เค้าเรื่องเดิมมาจากชวา ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีไทยในพระราชสำนักและของชาวบ้านหลายประการ
     ๔. คุณค่าทางด้านการละครและศิลปกรรม
          ๔.๑ การละคร บทละครเรื่องอิเหนาเป็นยอดของละครรำ เพราะใช้คำประณีต ไพเราะ เครื่องแต่งตัวละครงดงาม ท่ารำงาม บทเพลงขับร้องและเพลงหน้าพาทย์กลมกลืนกับเนื้อเรื่องและท่ารำ จึงนับว่าดีเด่นในศิลปะการแสดงละคร
          ๔.๒ การขับร้องและดนตรี วงดนตรีไทยนิยมนำกลอนจากวรรณคดีเรื่องอิเหนาไปขับร้องกันมาก เช่น ตอนบุษบาเสี่ยงเทียน และตอนประสันตาต่อนก เป็นต้น
          ๔.๓ การช่างของไทย ผู้อ่านจะได้เห็นศิลปะการแกะสลักลวดลายการปิดทองล่องชาด และลวดลายกระหนกที่งดงามอันเป็นความงามของศิลปะไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ

ที่มา https://th.wikipedia.org


ประเภทความเรียงเรื่องนิทาน ได้แก่ สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน)




Romance of the Three Kingdoms.jpg


สามก๊ก

      สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นแม่กองแปล ตั้งแต่ พ.ศ. 2345 และเป็นร้อยแก้วของไทยที่ได้รับการตีพิมพ์มาตั้งแต่ พ.ศ. 2417 ก่อนที่จะสังคมไทยจะได้อ่าน ความพยาบาท นิยายแปลโดยแม่วัน และ ละครแห่งชีวิต โดยหม่อมเจ้าอากาศดำเกิง รพีพัฒน์ ซึ่งถือเป็นนิยายเล่มแรกของวงวรรณกรรมไทย จึงเป็นนิยายร้อยแก้วที่เก่าแก่ที่สุดในสังคมไทย สำนวนภาษาตลอดจนค่านิยมดั้งเดิมล้วนปรากฏอยู่ทั่วไปในสามก๊ก ชนชั้นนำไทยแต่เดิมก็ถือว่าสามก๊กเป็นตำราการเมืองเสียด้วยซ้ำ คติทางสังคมหลายอย่างก็ถอดแบบมาจากสามก๊ก หนังสือเรื่องนี้จึงน่าเสพและศึกษาไปพร้อม ๆ กัน

ประวัติ

      เมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระราชดำรัสสั่งให้แปลหนังสือพงศาวดารจีนเป็นภาษาไทยสองเรื่อง คือ เรื่องไซ่ฮั่น เรื่องหนึ่ง กับเรื่องสามก๊ก เรื่องหนึ่ง โปรดให้สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ กรมพระราชวังหลัง ทรงอำนวยการแปลเรื่องไซ่ฮั่น แลให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลเรื่องสามก๊ก คำที่เล่ากันมาดังกล่าวนี้ไม่มีในจดหมายเหตุ แต่เมื่อพิเคราะห์ดูเห็นมีหลักฐานควรเชื่อได้ว่า เป็นความจริง ด้วยเมื่อในรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเอาเป็นพระราชธุระขวนขวายสร้างหนังสือต่าง ๆ ขึ้นเพื่อประโยชน์สำหรับพระนคร หนังสือซึ่งเป็นต้นฉบับตำรับตำราในกรุงรัตนโกสินทร์นี้ ทั้งที่รวบรวมของเก่า ที่แต่งใหม่ แลที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๑ มีมาก แต่ว่าในสมัยนั้นเป็นหนังสือเขียนในสมุดไทยทั้งนั้น ฉบับหลวงมักมีบานแพนกแสดงว่าโปรดให้สร้างขึ้นเมื่อปีใด แต่หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กสองเรื่องนี้ต้นฉบับที่ยังปรากฏอยู่มีแต่ฉบับเชลยศักดิ์ขาดบานแพนกข้างต้น จึงไม่มีลายลักษณ์อักษรเป็นสำคัญว่าแปลเมื่อใด ถึงกระนั้นก็ดี มีเค้าเงื่อนอันส่อให้เห็นชัดว่า หนังสือเรื่องไซ่ฮั่นกับเรื่องสามก๊กแปลเมื่อในรัชกาลที่ ๑ ทั้งสองเรื่อง เป็นต้นว่า สังเกตเห็นได้ในเรื่องพระอภัยมณีที่สุนทรภู่แต่งซึ่งสมมุติให้พระอภัยมณีมีวิชาชำนาญในการเป่าปี่ ก็คือ เอามาแต่เตียวเหลียงในเรื่องไซ่ฮั่น ข้อนี้ยิ่งพิจารณาดูคำเพลงปี่ของเตียวเหลียงเทียบกับคำเพลงปี่ของพระอภัยมณีก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ถ่ายมาจากกันเป็นแท้ ด้วยเมื่อรัชกาลที่ ๑ สุนทเรื่องสามก๊กนั้นเป็นนิทานที่ใช้เล่าและเล่นเป็นงิ้วในเมืองจีนมาแต่ก่อน ปราชญ์จีนชื่อ ล่อกวนตง ในยุคราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911 - 2186) จึงได้เขียนเรียบเรียงเป็นหนังสือ ต่อมาเม่าจงกัง และ กิมเสี่ยถ่าง ได้แต่งเพิ่มและนำไปตีพิมพ์ ตั้งแต่นั้นจึงได้แพร่หลายขึ้น และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ของไทยนั้นแปลในปี พ.ศ. 2345 โดยซินแสผู้รู้ภาษาจีนได้แปลออกมาให้เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรียบเรียงเป็นภาษาไทยอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับภาษาจีนหรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ เนื้อความหลายตอนจึงคลาดเคลื่อนกันบ้าง ซึ่งหาเทียบได้จากฉบับที่ สังข์ พัฒโนทัย แปลออกมาในตำราพิชัยสงครามสามก๊ก หรือในสามก๊กฉบับวณิพก ของยาขอบ ซึ่งเทียบจากฉบับภาษาอังกฤษของบริวิต เทเลอร์ แต่เนื้อความภาษาจีนเป็นอย่างไรหรือเรื่องจริงเป็นอย่างไรมิใช่ประเด็นสำคัญ เพราะสามก๊กฉบับภาษาไทยนั้น ได้ชื่อว่าเป็นเพชรเม็ดงามทางร้อยแก้วในวงวรรณกรรมไทย นอกจากสำนวนภาษาแล้ว เนื้อเรื่องยังได้แสดงตัวละครในลักษณะที่มีความซับซ้อนหลากหลาย ความเปลี่ยนแปรในจิตใจของมนุษย์ ตลอดจนเบื้องหลังอุปนิสัยตัวละครที่สัมพันธ์อย่างยิ่งกับการเดินเรื่อง สามก๊กจึงเป็นยอดในแบบของนิยายที่แสดงให้เห็นชีวิตโดยเหตุนี้

        เนื้อเรื่องเริ่มในตอนปลายของราชวงศ์ฮั่น กษัตริย์อ่อนแอ ขันทีมีอำนาจ บ้านเมืองเต็มไปด้วยความฉ้อฉล พลเมืองถูกกดขี่ กองโจรโพกผ้าเหลืองซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มของชาวบ้าน ที่ประกาศความเป็นไทจากอำนาจรัฐ เมื่อมีพระราชโองการให้หัวเมืองต่าง ๆ ยกกองทัพไปปราบปราม กลียุคจากสงครามจึงเป็นโรงละครใหญ่ให้วีรบุรุษได้ปรากฏตัว


ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki

ประเภทกลอนสุภาพ ได้แก่ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประเภทกลอนสุภาพ ได้แก่ เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน

ประวัติผู้แต่ง

            วรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนมิกวีแต่งกันหลายคน  ในปลายสมัยอยุธยา และ ในสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนที่ไพเราะส่วนมากแต่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)การแต่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนไม่นิยมบอกนามผู้แต่ง มีเพียงการสันนิฐานผู้แต่งโดยพิจารณาจากสำนวนการแต่งเท่านั้นเสภาขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกาจึงไม่ทราบนามผู้แต่งที่แน่ชัด

 .ลักษณะคำประพันธ์

            เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นคำประพันธ์ ประเภทกลอนเสภา  ๔๓  ตอน ซึ่งมีอยู่  ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดียอดเยี่ยมจากวรรณคดีสมาคม  อันมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ทรงเป็นประธานโดยลงมติเมื่อ  พ..๒๔๗๔  และตอน  ขุนช้างถวายฎีกาเป็นหนึ่ง ในแปดตอนที่ ได้รับการยกย่อง
             ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ เสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่างเล่านิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟัง และมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็นสำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งใน  ๕  คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบทเหมือนกลอนสุภาพ

 .เรื่องย่อ

            ครั้งหนึ่งสมเด็จพระพันวษาเสด็จประพาสสุพรรณบุรีเพื่อทรงล่าควายป่า ขุนไกรพ่อของพลายแก้วมีหน้าที่ต้อนควายป่า  เผอิญควายป่าแตกตื่นขวิดผู้คน  ขุนไกรจึงได้รับโทษประหารฝ่ายนางทองประศรีผู้เป็นภรรยาได้พา พลายแก้วซึ่งยังเล็กอยู่หนีอาญา  ไปเมืองกาญจนบุรี เมื่อพลายแก้ว อายุ  ๑๕  ปี นางทองประศรีได้พาไปบวชเรียนที่  วัดส้มใหญ่ เมื่อเรียนรู้ วิชาอาคมจนจบ แล้วก็ได้ไปบวชเรียนต่อที่วัด ป่าเลไลยก์ เมืองสุพรรณบุรี ต่อมา พลายแก้วได้แต่งงานกับนางพิม  หลังจากแต่งงานได้  ๒  วัน พลายแก้วก็ต้องยกทัพไปตีเมืองเชียงใหม่  เมื่อได้รับชัยชนะก็ได้แต่งงานนางลาวทองเป็นภรรยา
             ขณะที่พลายแก้วไปทำศึกนั้น  นางพิมล้มป่วย ขรัวตาจูจึงแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทองเพื่อรักษาอาการไข้ ขุนช้างที่หลงรักนางวันทองมาโดยตลอดได้ใช้ อุบายลวงว่าพลายแก้วไปทัพตายเสียแล้ว  และอ้างกฎหมายว่าผู้หญิงม่ายที่สามีไปทัพตายจะถูกริบเป็นม่ายหลวง  นางศรีประจันผู้เป็นแม่เชื่อขุนช้าง  จึงบังคับให้นางวันทอง แต่งงานกับขุนช้างจนได้  แต่นางวันทองไม่ยอมเข้าเรือนหอ   เมื่อพลายแก้วยกทัพ กลับกรุงศรีอยุธยาพร้อมนางลาวทอง พระพันวษาได้พระราชทาน บรรดาศักดิ์ให้พลายแก้วเป็นขุนแผนแสนสะท้าน แล้วพานางลาวทองกลับสุพรรณบุรี  ขุนแผนรู้เรื่องการแต่งงานของนางวันทองกับขุนช้างก็โกรธ ประกอบกับนางลาวทองและนางวันทองวิวาทกัน  ขุนแผนจึงพานางลาวทองไปอยู่กาญจนบุรี ในที่สุดนางวันทองก็ถูกนางศรีประจันเฆี่ยนตีและบังคับจนต้องตกเป็นภรรยาขุนช้าง
               ต่อมาขุนแผนกับขุนช้างได้ไปฝึกราชการกับจมื่นศรีเสาวรักษ์ทั้งสองได้คืนดีกัน กระทั่งนางลาวทองป่วย ขุนแผนจึงฝากเวร  ไว้กับขุนช้าง  ขุนช้างก็รับปากไว้ด้วยดี    ครั้นเมื่อพระพันวษารับสั่ง  ถามถึงขุนแผน ขุนช้างกลับทูลว่าขุนแผนหนีเวรปีนกำแพงวังไปหานางลาวทอง สมเด็จพระพันวษากริ้ว จึงลงโทษให้ขุนแผนตะเวนด่านห้ามเฝ้า ส่วนนางลาวทองให้เอาไปไว้ในวัง ขุนแผนมีความอาฆาตขุนช้างมาก จึงเดินทางไปสุพรรณบุรี  สะเดาะดาลประตูขึ้นเรือนขุนช้าง แต่เข้าห้องผิดไปเข้าห้องนางแก้วกิริยา ซึ่งเป็นทาสในเรือนขุนช้างแล้วได้นางเป็นภรรยา จากนั้นจึงพานางวันทองหนีออกจากเรือนขุนช้างไปอยู่ในป่า  จนกระทั่งนางวันทองใกล้คลอด ขุนแผนจึงเข้าพึ่งพระพิจิตรกับนางบุษบา ขุนแผนเห็นว่าความผิดของตนจะทำให้พระพิจิตรเดือดร้อน  จึงขอร้องให้พระพิจิตรส่งตัวไปสู้คดีกับขุนช้าง ในที่สุดขุนแผนก็เป็นฝ่ายชนะความ
              ขุนแผนคิดถึงนางลาวทองซึ่งถูกักไว้ในวัง จึงได้ขอร้องให้จมื่นศรีกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้นางลาวทอง  เป็นผลให้พระพันวษากริ้ว  รับสั่งให้ลงอาญาจำคุกขุนแผน  ส่วนนางวันทอง  ต้องจำใจอยู่กับขุนช้างและได้คลอดบุตรที่บ้านขุนช้าง ให้ชื่อว่า พลายงาม ขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่บุตรของตนจึงวางอุบายฆ่า  เมื่อนางวันทองทราบเรื่องจากผีพรายของขุนช้าง จึงไปช่วยพลายงามได้ทันและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วพลายงามเดินทางไปอยู่กับย่าทองประศรีที่กาญจนบุรี ได้เรียนวิชาอาคมต่างๆ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นจมื่นศรีพาเข้าไปถวายตัวเป็นมหาดเล็ก
               เมื่อครั้งที่พระพันวษากริ้วเจ้าเมืองเชียงใหม่ ซึ่งส่งพระราชสาส์นมาท้าทายเป็นเหตุให้พลายงามมีโอกาสกราบทูลอาสา และกราบทูลขุนแผนให้ไปทัพด้วย  ขุนแผนจึงพ้นโทษ  ขณะรอฤกษ์ เคลื่อนทัพนางแก้วกิริยาก็คลอดบุตร นางทองประศรีจึงให้ชื่อหลานว่า พลายชุมพล
               ขุนแผนกับพลายงามเคลื่อนทัพไปพักที่เมืองพิจิตร  พลายงามพบรักกับศรีมาลาลูกสาวพระพิจิตรกับนางบุษบา  ขุนแผนได้ขอศรมาลาให้กับพลายงาม ศึกเชียงใหม่ขุนแผนและพลายงามได้รับชัยชนะ เมื่อกลับถึงกรุงศรีอยุธยาพลายงามได้รับพระราชทานความดีความชอบเป็นจมื่นไวยวรนาถได้รับพระราชทานนางสร้อยฟ้า ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่ เป็นภรรยาพลายงามหรือจมื่นไวยวรนาถจึงแต่งงานกับนางสร้อยฟ้าและนางศรีมาลา  ส่วนขุนแผนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระสุรินทรฦๅไชยไหสุริยะภักดิ์ ครองเมืองกาญจนบุรี


วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประเภทฉันท์ ได้แก่ สมุทรโฆษคำฉันท์


    
  



   สมุทรโฆษคำฉันท์ 
        เป็นวรรณคดีที่ได้รับการยกย่องจาก วรรณคดีสโมสร ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ว่าเป็นเรื่องที่แต่งดีเป็นเยี่ยมในกระบวนคำฉันท์ เป็นวรรณกรรมขนาดย่อม มีความยาว ของเนื้อเรื่อง ๒,๒๑๘ บท (นับรวมแถลงท้ายเรื่อง ๒๑ บท ) กับโคลงท้ายเรื่องอีก ๔ บท
       สมุทรโฆษคำฉันท์ นับเป็นหนึ่งในวรรณคดีไทย ที่มีประวัติอันยาวนาน สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา จวบจนถึงช่วงต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีเนื้อหาแบบนิยายไทยทั่วไป ที่มีความรักและการพลัดพราก กวีได้สอดแทรกขนบการแต่งเรื่องไว้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์ยังใช้วรรณคดีเล่มนี้สำหรับการอ้างอิงหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้านขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมด้วย
ประวัติวรรณคดี
            ผู้แต่งสมุทรโฆษคำฉันท์มีผู้แต่งสามท่าน ซึ่งแต่งในยุคสมัยต่างๆ กัน ดังนี้

          ๑. พระมหาราชครู แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่แต่งตั้งปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏ คาดว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. ๒๒๐๐ ท่านได้แต่งไว้ ๑,๒๕๒ บท นับตั้งแต่ต้น จนถึงตอน “งานสยุมพรพระสมุทรโฆษกับนางพินทุมดี”
           ๒. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ๒๐๕ บท แต่ไม่จบเรื่อง ก็สวรรคตเสียก่อน ทรงแต่งตั้งแต่ตอน “พระสมุทรโฆษและนางพินทุมดีไปใช้บน” (แก้บน) จนถึง ตอนที่พิทยาธรสองตนรบกัน (ตนหนึ่งตกลงไปในสวน) แต่ยังรบไม่จบ ทรงแต่งจนถึงสัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
              ๓. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงพระนิพนธ์ต่อจากนั้นจนจบเรื่อง นับได้ ๘๖๑ บท หลังจากที่ค้างอยู่นานถึง ๑๖๐ ปี (นับจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑) เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าแต่งต่อ โดยได้ทรงพระนิพนธ์เป็นสองช่วง และสุดท้ายก็จบเรื่อง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๒ (จ.ศ. ๑๒๑๑) 
ลักษณะการแต่ง
         คำประพันธ์ในสมุทรโฆษคำฉันท์ ระบุไว้ในชื่อของหนังสือเล่มนี้อยู่แล้ว ว่าเป็น คำฉันท์ นั่นคือ ประกอบด้วยฉันท์ และกาพย์
จุดมุ่งหมาย
     เพื่อใช้แสดงหนังใหญ่ในพระราชพิธีฉลองพระชนมายุครบเบญจเพส ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เนื้อเรื่อง
          กล่าวถึงพระสมุทรโฆษกษัตริย์แห่งเมืองพรหมบุรีได้เสด็จไปคล้องช้างก่อนเข้าบรรทมหลับใต้ต้นโพธิ์ได้สดุดี และบำบวงแก่เทพทั้งหลาย พระโพเทพารักษ์พอใจและเกิดความเมตตาจึงอุ้มพระสมุทรโฆษไปยังปราสาทนางพินทุมดีในรมยนครและได้นางเป็นชายา พอจวนรุ่งเทพารักษ์เหาะมาลอบอุ้มกลับมาคืนยังราชรถทรงเมื่อทั้งสองตื่นขึ้นมาไม่พบกันก็ให้รู้สึกเสียใจ นางธาราพระพี่เลี้ยงได้วาดรูปเทพและพระราชสำคัญๆให้นางพินทุมดีดูจนถึงรูปพระสมุทรโฆษ จึงได้ทราบว่าเป็นพระสมุทรโฆษ ต่อมา พระสมุทรโฆษก็ได้อภิเษกกับนางพินทุมดีสมความปรารถนาเพราะชนะการประลองศร ต่อมาทั้งสองคนก็มีเหตุให้ต้องพลัดพรากจากกันแต่ในท้ายที่สุดก็ได้กลับมาครองรักกันเหมือนเดิม



วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประเภทลิลิต ได้แก่ ลิลิตพระลอ



  ลิลิตพระลอ
                          เป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิตเข้าใจกันว่าเป็นเรื่องจริงเล่ากันเรื่อยมาจนเป็นนิยามชื่อดัง ของท้องถิ่นไทยภาคเหนือ แถว ๆ จังหวัดแพร่และลำปาง คือเมืองสรองคงจะอยู่ที่อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ เมืองสรวงน่าจะอยู่ที่อำเภอแจ้ห่ม 
                จังหวัดลำปาง นิยายเรื่องจริงเรื่องนี้น่าจะเกิดในช่วง พ.ศ. 1616-1693 จะแต่งในสมัยพระบรมไตรโลกนาถสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) หรือในสมเด็จพระนารายณ์ก็ไม่ทราบแน่ชัด
                ผู้แต่ง :    ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่คงจะเป็นกวีชั้นนักปราชญ์ทีเดียวแต่งได้เลิศเลอนักยังหาผู้เทียบทานไม่ได้
                ทำนองแต่ง :   แต่งเป็นลิลิตสุภาพ ซึ่งประกอบด้วยร่ายสุภาพ และโครงสุภาพ อีกทั้งมีบางตอนก็เป็นร่านดั้นและร่ายโบราณ
                วัตถุประสงค์ในการแต่ง :      เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงอ่านเป็นที่สำราญพระทัย                            เรื่องย่อ :    เนื่องจากเมืองเหนือสองเมืองเป็นศัตรูคู่อริไม่ถูกกัน กษัตริย์เมืองสรวงพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระลอ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระสิริวรกายงดงามหล่อเหลายิ่ง จนเป็นที่ปรากฏของหญิงทั้งหลาย และยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองสรอง เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์พิชัยพิษณุกรกษัตริย์พิชัยพิษณุกรทีพระราชธิดาอยู่ 2 พระองค์ พระองค์พี่ พระนามว่า พระเพื่อน พระองค์น้องพระนามว่า พระแพง พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ทรงต้องพระทัยในพระลอยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยเห็น นางรื่นกับนางโรย สองพระพี่เลี้ยงรู้ความจริง ด้วยความสงสารจึงทูลอาสาเข้าช่วยเหลือให้สมกับพระประสงค์ ส่งคนไปสีซอให้พระลอฟัง เป็นการพรรณนาความงามของพระเพื่อนกับพระแพง ไปหาหญิงแม่มดให้ช่วยทำเสน่ห์ แต่แม่มดปฏิเสธเพราะมนตร์เสน่ห์ของตนหมดฤทธิ์ขลังเสียแล้ว แม่มดจึงพาไปหาปู่เจ้าสมิงพราย ปู่เจ้าสมิงพรายให้ความช่วยเหลือ จนพระลอต้องเสด็จมาเองสรองพระลอต้องมนตร์เสน่ห์เข้าก็ทรงเกิดความอยากทอดพระเนตรดูพระเพื่อนกับพระแพงขึ้นมาทันที จึงอำลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และพระนางลักษณวดีพระมเหสี เสด็จโดยด่วนไปยังเมืองสรองพร้อมด้วยนายแก้วนายขวัญสองพระพี่เลี้ยงเมื่อเสด็จถึงแม่น้ำกาหลง พระลอก็ทรงเสี่ยงน้ำ ปรากฏเป็นลางร้ายไม่ต้องำพระทัยเลย แต่ก็ต้องเสด็จต่อไป เพราะต้องมนตร์เสน่ห์ของเจ้าปู่สมิงพรายเข้าแล้ว ปรากฏมีไก่ผีของเจ้าปู่สมิงพรายคอยวิ่งล่อพระลอ กับพระพี่เลี้ยงให้ต้องไปจนถึงเมืองสรองจนได้ 
              เมื่อไปถึงสวนหลวง นางรื่นกับนางโรยออกมาที่สวนหลวงก็ทราบข่าวว่าพระลอเสด็จมาถึงแล้ว จึงออกอุบายที่สำคัญคือ ให้พระเพื่อนและพระแพงเสด็จออกไปพบพระลอ จากนั้นก็พาพระลอเข้าไปอยู่ในตำหนักพระเพื่อนพระแพง ส่วนนายแก้วให้อยู่กับนางรื่น นายขวัญให้อยู่กับนางโรย ทุกอย่างลงตัวหมดเวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งเดือน กษัตริย์พิชัยพิษณุกรจึงทรงทราบเมื่อเสด็จมาพระตำหนักพระราชธิดา ทรงเห็นพระลอแล้วก็สงสาร ทรงเมตตารับสั่งให้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้ แต่พระเจ้าย่าของพระเพื่อนพระแพง ไม่ทรงชอบพระลอจึงทรงขัดขวางทุกวิถีทาง ทรงอ้างรับสั่งของกษัตริย์พิชัยพิษณุกรว่าให้ทรงสั่งจับพระลอ ทหารจึงพากันจับพระลอไว้ 
                ฝ่ายพระเพื่อนพระแพง และพระพี่เลี้ยงของทั้งสองฝ่ายรวม 4 คนก็ได้ช่วยขัดขวางจนถงที่สุด จนสิ้นพระชนม์และสิ้นชีวิตกันทั้งหมด กษัตริย์พิชัยพิษณุกร เมื่อทรงทราบเรื่องราวก็ทรงให้มีรับสั่งให้จับพระเจ้าย่าและพรรคพวกประหารชีวิตเสียให้ตายตกไปตามกัน เพราะทรงพระพิโรธยิ่งนักจากนั้นกษัตริย์พิชัยพิษณุกรได้โปรดให้จัดพิธีพระศพอย่างยิ่งใหญ่ นางบุญเหลือพระราชมารดาของพระลอส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์(คือ  พระลอ พระเพื่อน และพระแพง) แล้วทรงขอแบ่งพระอัฐิธาตุ ไปส่วนหนึ่งตั้งแต่นั้นมา เมืองสรองและเมืองสรวงก็มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน
                คุณค่าของลิลิตพระลอ
                1. ในด้านอักษรศาสตร์ นับเป็นวรรณคดีที่ใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะ ปลุกอารมณ์ร่วมได้ทุกอารมณ์ เป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น ๆ มากอย่างบทเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า
                                                       “เสียงลือเสียงเล่าอ้าง       อันใด พี่เอย
                                             เสียงย่อมยอยศใคร                    ทั่วหล้า
                                             สองเขือพี่หลับใหล                    ลืมตื่น ฤาพี่
                                             สองพี่คิดเองอ้า                         อย่าได้ถามเผือ
               แปลความว่า     มีเสียงร่ำลืออ้างถึงอะไรกัน เสียงนั้นยกย่องเกียรติของใครทั่วทั้งพื้นหล้าแผ่นดิน พี่ทั้งสองนอนหลับใหล จนลืมตื่นหรือพี่ พี่ทั้งสองจงคิดเอาเองเถิด อย่าได้ถามน้องเลย    บทนี้เขานับเป็นบทครูที่วรรณคดียุคต่อมาต้องนำมาเป็นแบบอย่าง
                2. ในด้านพระศาสนา    ได้ให้แง่คิดทางศาสนาอย่างเช่นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตซึ่งเป็นของแน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก อย่างบทที่ว่า
                                                                    สิ่งใดในโลกล้วน         อนิจจัง
                                                     คงแต่บาปบุญยัง                        เที่ยงแท้
                                                     ตามแต่บุญบาปแล                     ก่อเกื้อรักษา
                หรือบทที่ว่าด้วยกฎแห่งกรรม
                                                                 ถึงกรรมจักอยู่ได้           ฉันใด พระเอย
                                                         กรรมบ่มีมีใคร                        ฆ่าเข้า
                                                        กุศลส่งสนองไป                     ถึงที่ สุขนา
                                                        บาปส่งจำตกช้า                      ช่วยได้ฉันใด
                3. ในด้านการปกครอง   จะเห็นว่าการปกครองในสมัยนั้น ต่างเมืองต่างก็เป็นอิสระ  เป็นใหญ่ ไม่ขึ้นแก่กัน แต่สามารถมีสัมพันธไมตรีกันได้
                4.  ในด้านประวัติศาสตร์   ลิลิตพระลอได้ให้ความรู้ในทางประวัติศาสตร์ของไทยได้ในแง่มุมต่าง ๆ โดยเฉพาะทำให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองสรวงและเมืองสรองอันได้แก่ ลำปางและแพร่
                5. ในด้านวิถีชีวิต   ได้มองเห็นถึงความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยนั้นที่ยังเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์อยู่มากมีการนับถือผีสางนางไม้ แม้ปัจจุบันก็ยังมีอยู่

ที่มา : https://sites.google.com/site/reuxnglilitphralx/

ประเภทบทละครรำ ได้แก่ อิเหนา

อิเหนา       อิเหนาเป็น วรรณคดีเก่าแก่เรื่องหนึ่งของไทย เป็นที่รู้จักกันมานาน เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงปลาย สมัยกรุงศรีอยุธยา  ...