
ลิลิตพระลอ
เป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิตเข้าใจกันว่าเป็นเรื่องจริงเล่ากันเรื่อยมาจนเป็นนิยามชื่อดัง
ของท้องถิ่นไทยภาคเหนือ แถว ๆ จังหวัดแพร่และลำปาง
คือเมืองสรองคงจะอยู่ที่อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่
เมืองสรวงน่าจะอยู่ที่อำเภอแจ้ห่ม
จังหวัดลำปาง
นิยายเรื่องจริงเรื่องนี้น่าจะเกิดในช่วง พ.ศ. 1616-1693 จะแต่งในสมัยพระบรมไตรโลกนาถสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) หรือในสมเด็จพระนารายณ์ก็ไม่ทราบแน่ชัด
ผู้แต่ง : ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง
แต่คงจะเป็นกวีชั้นนักปราชญ์ทีเดียวแต่งได้เลิศเลอนักยังหาผู้เทียบทานไม่ได้
ทำนองแต่ง : แต่งเป็นลิลิตสุภาพ ซึ่งประกอบด้วยร่ายสุภาพ
และโครงสุภาพ อีกทั้งมีบางตอนก็เป็นร่านดั้นและร่ายโบราณ
วัตถุประสงค์ในการแต่ง : เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงอ่านเป็นที่สำราญพระทัย เรื่องย่อ : เนื่องจากเมืองเหนือสองเมืองเป็นศัตรูคู่อริไม่ถูกกัน
กษัตริย์เมืองสรวงพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระลอ
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระสิริวรกายงดงามหล่อเหลายิ่ง
จนเป็นที่ปรากฏของหญิงทั้งหลาย และยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า เมืองสรอง
เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์พิชัยพิษณุกรกษัตริย์พิชัยพิษณุกรทีพระราชธิดาอยู่ 2 พระองค์ พระองค์พี่ พระนามว่า พระเพื่อน
พระองค์น้องพระนามว่า พระแพง พระราชธิดาทั้งสองพระองค์ทรงต้องพระทัยในพระลอยิ่งนัก
ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยเห็น นางรื่นกับนางโรย สองพระพี่เลี้ยงรู้ความจริง ด้วยความสงสารจึงทูลอาสาเข้าช่วยเหลือให้สมกับพระประสงค์
ส่งคนไปสีซอให้พระลอฟัง เป็นการพรรณนาความงามของพระเพื่อนกับพระแพง
ไปหาหญิงแม่มดให้ช่วยทำเสน่ห์
แต่แม่มดปฏิเสธเพราะมนตร์เสน่ห์ของตนหมดฤทธิ์ขลังเสียแล้ว
แม่มดจึงพาไปหาปู่เจ้าสมิงพราย ปู่เจ้าสมิงพรายให้ความช่วยเหลือ
จนพระลอต้องเสด็จมาเองสรองพระลอต้องมนตร์เสน่ห์เข้าก็ทรงเกิดความอยากทอดพระเนตรดูพระเพื่อนกับพระแพงขึ้นมาทันที
จึงอำลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และพระนางลักษณวดีพระมเหสี
เสด็จโดยด่วนไปยังเมืองสรองพร้อมด้วยนายแก้วนายขวัญสองพระพี่เลี้ยงเมื่อเสด็จถึงแม่น้ำกาหลง พระลอก็ทรงเสี่ยงน้ำ
ปรากฏเป็นลางร้ายไม่ต้องำพระทัยเลย แต่ก็ต้องเสด็จต่อไป
เพราะต้องมนตร์เสน่ห์ของเจ้าปู่สมิงพรายเข้าแล้ว
ปรากฏมีไก่ผีของเจ้าปู่สมิงพรายคอยวิ่งล่อพระลอ
กับพระพี่เลี้ยงให้ต้องไปจนถึงเมืองสรองจนได้
เมื่อไปถึงสวนหลวง
นางรื่นกับนางโรยออกมาที่สวนหลวงก็ทราบข่าวว่าพระลอเสด็จมาถึงแล้ว
จึงออกอุบายที่สำคัญคือ ให้พระเพื่อนและพระแพงเสด็จออกไปพบพระลอ จากนั้นก็พาพระลอเข้าไปอยู่ในตำหนักพระเพื่อนพระแพง
ส่วนนายแก้วให้อยู่กับนางรื่น นายขวัญให้อยู่กับนางโรย
ทุกอย่างลงตัวหมดเวลาล่วงเลยไปถึงครึ่งเดือน
กษัตริย์พิชัยพิษณุกรจึงทรงทราบเมื่อเสด็จมาพระตำหนักพระราชธิดา ทรงเห็นพระลอแล้วก็สงสาร
ทรงเมตตารับสั่งให้จัดพิธีอภิเษกสมรสให้ แต่พระเจ้าย่าของพระเพื่อนพระแพง
ไม่ทรงชอบพระลอจึงทรงขัดขวางทุกวิถีทาง
ทรงอ้างรับสั่งของกษัตริย์พิชัยพิษณุกรว่าให้ทรงสั่งจับพระลอ
ทหารจึงพากันจับพระลอไว้
ฝ่ายพระเพื่อนพระแพง
และพระพี่เลี้ยงของทั้งสองฝ่ายรวม 4 คนก็ได้ช่วยขัดขวางจนถงที่สุด
จนสิ้นพระชนม์และสิ้นชีวิตกันทั้งหมด กษัตริย์พิชัยพิษณุกร
เมื่อทรงทราบเรื่องราวก็ทรงให้มีรับสั่งให้จับพระเจ้าย่าและพรรคพวกประหารชีวิตเสียให้ตายตกไปตามกัน
เพราะทรงพระพิโรธยิ่งนักจากนั้นกษัตริย์พิชัยพิษณุกรได้โปรดให้จัดพิธีพระศพอย่างยิ่งใหญ่
นางบุญเหลือพระราชมารดาของพระลอส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์(คือ พระลอ พระเพื่อน และพระแพง)
แล้วทรงขอแบ่งพระอัฐิธาตุ ไปส่วนหนึ่งตั้งแต่นั้นมา
เมืองสรองและเมืองสรวงก็มีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน
คุณค่าของลิลิตพระลอ
1. ในด้านอักษรศาสตร์ นับเป็นวรรณคดีที่ใช้ถ้อยคำได้อย่างไพเราะ
ปลุกอารมณ์ร่วมได้ทุกอารมณ์ เป็นวรรณคดีที่มีอิทธิพลต่อวรรณคดีอื่น ๆ
มากอย่างบทเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ว่า
“เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ”
แปลความว่า มีเสียงร่ำลืออ้างถึงอะไรกัน
เสียงนั้นยกย่องเกียรติของใครทั่วทั้งพื้นหล้าแผ่นดิน พี่ทั้งสองนอนหลับใหล
จนลืมตื่นหรือพี่ พี่ทั้งสองจงคิดเอาเองเถิด อย่าได้ถามน้องเลย บทนี้เขานับเป็นบทครูที่วรรณคดียุคต่อมาต้องนำมาเป็นแบบอย่าง
2. ในด้านพระศาสนา ได้ให้แง่คิดทางศาสนาอย่างเช่นความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชีวิตซึ่งเป็นของแน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก
อย่างบทที่ว่า
สิ่งใดในโลกล้วน อนิจจัง
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
ตามแต่บุญบาปแล ก่อเกื้อรักษา
หรือบทที่ว่าด้วยกฎแห่งกรรม
ถึงกรรมจักอยู่ได้ ฉันใด พระเอย
กรรมบ่มีมีใคร ฆ่าเข้า
กุศลส่งสนองไป ถึงที่ สุขนา
บาปส่งจำตกช้า ช่วยได้ฉันใด
3. ในด้านการปกครอง จะเห็นว่าการปกครองในสมัยนั้น
ต่างเมืองต่างก็เป็นอิสระ เป็นใหญ่ ไม่ขึ้นแก่กัน
แต่สามารถมีสัมพันธไมตรีกันได้
4. ในด้านประวัติศาสตร์ ลิลิตพระลอได้ให้ความรู้ในทางประวัติศาสตร์ของไทยได้ในแง่มุมต่าง
ๆ โดยเฉพาะทำให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของเมืองสรวงและเมืองสรองอันได้แก่
ลำปางและแพร่
5. ในด้านวิถีชีวิต ได้มองเห็นถึงความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยนั้นที่ยังเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์อยู่มากมีการนับถือผีสางนางไม้
แม้ปัจจุบันก็ยังมีอยู่
ที่มา : https://sites.google.com/site/reuxnglilitphralx/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น